ประวัติ ของ สมคิด เลิศไพฑูรย์

ชีวิตส่วนตัว

สมคิด เลิศไพฑูรย์ เกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2502 บิดาประกอบอาชีพเป็นช่างไฟฟ้า[5] ส่วนมารดาค้าขายเสื้อผ้าในตลาด[5] ทั้งบิดามารดาของสมคิดมีเชื้อสายเป็นคนจีน และมีพื้นเพเป็นคนกรุงเทพมหานคร ย่านบุคคโล ฝั่งธนบุรี บิดามารดาเดิมสกุล แซ่เล แต่สมคิดได้ตั้งนามสกุล "เลิศไพฑูรย์" ขึ้นมา โดยมีคำรณ บุญเชิด (อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย) น้าชาย เป็นผู้ตั้งให้[5]

ใน พ.ศ. 2540 ได้สมรสกับ ฉัตรแก้ว นิธิอุทัย หญิงชาวมุสลิม เขาจึงเข้ารีตเป็นมุสลิมตามภรรยา ทั้งคู่มีบุตรชายฝาแฝด คือ ฐากร เลิศไพฑูรย์ และฐากูร เลิศไพฑูรย์ ซึ่งปัจจุบันศึกษา ณ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ด้วยกันทั้งสอง[6]

การศึกษา

สมคิด เลิศไพฑูรย์ สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนสมจิตร[6] ระดับประถมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนวัดประยุรวงศาวาส[6] ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนวัดราชโอรส[6] และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา[6]

ต่อมา สมคิดเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นเดียวกับ สุรพล นิติไกรพจน์, อภิชาติ ดำดี, วสันต์ ภัยหลีกลี้, วิฑูรย์ นามบุตร, นพดล ปัทมะ, อัญชลี วานิช เทพบุตร และบุญสม อัครธรรมกุล[5] สมัยนั้น เขาเคยทำกิจกรรมในพรรคแสงธรรม องค์การนักศึกษา และสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[5]

เขาเป็นนิติศาสตรบัณฑิตแห่งคณะดังกล่าวตั้งแต่ พ.ศ. 2525 ครั้นแล้ว ได้เป็นเนติบัณฑิตไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2527 จากนั้น เขาได้ทุนจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส 2 ประเทศฝรั่งเศส สำเร็จปริญญาโทและปริญญาเอกทางกฎหมายมหาชน ในปี พ.ศ. 2530 และ พ.ศ. 2533 ตามลำดับ นอกจากนี้ เขายังได้ประกาศนียบัตร หลักสูตรการปกครองท้องถิ่น จากประเทศฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2537 ด้วย[7]

ประสบการณ์การทำงาน

สมคิดเริ่มทำงานในคณะกรรมการข้าราชการพลเรียน แต่ทำได้เดือนเดียวก็ลาออก[5] จากนั้น เขาผ่านการสอบคัดเลือกเข้าเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ที่ 1 ในปี พ.ศ. 2525[5] เขาจึงได้สอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง[6] ครั้งนั้น เขาเปิดสอนวิชากฎหมายปกครองท้องถิ่นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นครั้งแรก[5] ต่อมา เขาจึงได้เป็นเป็นผู้ช่วยรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[8], กรรมการสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[8] และ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[9]

อนึ่ง สมคิดยังเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ และมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ฯลฯ [6], เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยทักษิณ ประเภทผู้ทรงคุณวุฒิ[10] และกรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต[11]

นอกจากประสบการณ์ในด้านมหาวิทยาลัยแล้ว สมคิด เลิศไพฑูรย์ ยังมีประสบการณ์อื่นอีก[11] อาทิ เป็นกรรมการสถาบันพระปกเกล้า, กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, กรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และเลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ใน พ.ศ. 2550 ตลอดจนเป็นกรรมการสนับสนุนระบบจังหวัดแบบบูรณาการ สำนักนายกรัฐมนตรี, อนุกรรมการข้าราชการพลเรือนวิสามัญ เกี่ยวกับวินัยและการออกจากราชการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ผู้ทรงคุณวุฒิประจำศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เชี่ยวชาญประจำศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงเป็นที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานศาลปกครองและรองประธานกรรมการ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ[12]

รัฐประหาร พ.ศ. 2549

หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 สมคิดได้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญปี 50[5] จึงมีผู้ตั้งคำถามว่า เป็นไฉนเขาจึงร่วมหัวจมท้ายกับเผด็จการทหาร[5] สมคิดว่า เขาเรียนและสอนเรื่องรัฐธรรมนูญเรื่อยมา ถึงเวลาต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญ ก็ควรเข้าไปร่วม เพื่อให้เนื้อหาออกมาเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด[5]

ต่อมา เมื่อสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิ้นสุดวาระอยู่ในตำแหน่งลงใน พ.ศ. 2553 มีการหยั่งเสียงเพื่อสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนใหม่ สมคิด เลิศไพฑูรย์ ซึ่งใกล้ชิดกับสุรพล ได้คะแนน 1,722 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 30 จากบรรดาผู้สมัครทั้งหมด[13] ในการเลือกตั้งอธิการบดีฯ ณ วันที่ 18 ตุลาคม ของปีเดียวกัน สมคิดจึงชนะไปด้วยคะแนนเสียง 25 คะแนน[14]

รัฐประหาร พ.ศ. 2557

หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 สมคิดให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่เคยสนับสนุนหรือส่งเสริมรัฐประหาร แต่ควรมองต่อไปว่าเมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นแล้วจะทำอย่างไรให้ประเทศก้าวต่อไปข้างหน้า ดีกว่ามาคิดว่ารัฐประหารนี้ควรหรือไม่ "โจทย์ใหญ่วันนี้คือเราจะทำอย่างไรให้รัฐประหารซึ่งมีทั้งคนชอบและไม่ชอบจะไม่สูญเปล่า" และกล่าวว่า ไม่มีทางที่รัฐประหารจะอยู่ค้ำฟ้า อีกไม่นานก็จะกลับสู่วิถีประชาธิปไตย เขายังเชื่อว่า หากรัฐบาลยอมลาออกจากตำแหน่งจะไม่เกิดรัฐประหาร[15]

ในปี พ.ศ. 2557 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ[16]

ในปี พ.ศ. 2560 ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 8/2560[17]

ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 61 อนุมัติแต่งตั้ง ให้เป็น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)

แหล่งที่มา

WikiPedia: สมคิด เลิศไพฑูรย์ http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/it/scien... http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%... http://www.sk.tsu.ac.th/news/files/012009072009232... http://cwweb.tu.ac.th/org/overview-resume/OneRecto... http://law.tu.ac.th/dean/dean.htm http://www.law.tu.ac.th/current/About_LAW/list_dea... http://www.tu.ac.th/overview/admin/exec/25.surapon... http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?Ne... http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1... http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1...